บทความนี้ถูกแปลเป็นภาษา
- português - Portuguese
- اردو - Urdu
- Deutsch - German
- Shqip - Albanian
- español - Spanish
- বাংলা - Bengali
- bosanski - Bosnian
- Kiswahili - Swahili
- svenska - Swedish
- Tiếng Việt - Vietnamese
- magyar - Hungarian
- हिन्दी - Hindi
- Hausa - Hausa
- 中文 - Chinese
- Bahasa Indonesia - Indonesian
- Wikang Tagalog - Tagalog
- Français - French
- English - English
- አማርኛ - Amharic
- Русский - Russian
- العربية - Arabic
- italiano - Italian
- অসমীয়া - Assamese
Full Description
ใครเป็นผู้สร้างฉันมา? และสร้างมาเพื่ออะไร?ทุกสิ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของผู้สร้าง
ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ซึ่งไม่สามารถรอบรู้ถึงทั้งหมดนั้นได้?
ใครเป็นผู้วางระบบที่ละเอียดและรัดกุมในการบริหารจัดการชั้นฟ้าและแผ่นดิน?
ใครเป็นผู้สร้างมนุษย์ ให้การได้ยิน การมองเห็นและสติปัญญา และทำให้มีความสามารถในการรับความรู้และความเข้าใจถึงข้อเท็จจริง?
ท่านจะอธิบายถึงฝีมือการสร้างที่ละเอียดและแม่นยำเกี่ยวกับระบบในร่างกายของท่าน และร่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย? ใครเล่าเป็นผู้ประดิษฐ์มันขึ้นมา?
จักรวาลที่ยิ่งใหญ่นี้ได้รับการจัดระเบียบและมั่นคงด้วยกฎระเบียบของมันที่คอยควบคุมมันอย่างรัดกุมและแม่นยำ ตลอดที่ผ่านมาได้อย่างไร?
ใครเป็นผู้กำหนดระบบต่างๆ ที่คอยควบคุมโลกนี้ (ไม่ว่าจะเป็นการมีชีวิตและความตาย การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต การเกิดกลางวันและกลางคืน การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล และอื่นๆ)?
จักรวาลนี้สร้างตัวของมันเองกระนั้นหรือ? หรือเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า? หรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ?
ทำไมผู้คนถึงเชื่อในการมีอยู่ของสรรพสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น? เช่น (การรับรู้ สติปัญญา จิตวิญญาณ ความรู้สึก และความรัก) เป็นเพราะเขาได้เห็นผลงานของมันไม่ใช่หรือ? แล้วมนุษย์จะปฏิเสธการดำรงอยู่ของผู้สร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ได้อย่างไร ทั้งที่เขาเห็นผลงานแห่งการสร้าง การกระทำของพระองค์ และความเมตตาของพระองค์!
ไม่มีผู้ใดที่มีสติปัญญาที่จะยอมรับต่อคำพูดที่ว่า: บ้านหลังนี้มีขึ้นโดยไม่มีใครสร้าง! หรือมีคนพูดกับเขาว่า: แท้จริง ความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา! แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่บางคนเชื่อในคำพูดที่ว่า: จักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นมาโดยไม่มีผู้สร้าง? เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้มีสติปัญญาจะยอมรับกับคำกล่าวที่ว่า: แท้จริง ระบบของจักรวาลที่รัดกุมนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ?
อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:(أَمۡ خُلِقُواْ مِنۡ غَيۡرِ شَيۡءٍ أَمۡ هُمُ ٱلۡخَٰلِقُونَ، أَمۡ خَلَقُواْ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلۡأَرۡضَۚ بَل لَّا يُوقِنُونَ). (หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเอง หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ เปล่าเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก)(32 : 52)
อัลลอฮ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง
พระเจ้าและผู้สร้างคือองค์เดียวกัน พระองค์ทรงมีพระนามและคุณลักษณะที่ดีงามมากมายที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ยิ่งของพระองค์ ในบรรดาพระนามของพระองค์ได้แก่ อัลคอลิก หมายถึง พระผู้ทรงสร้าง อัรเราะหีม หมายถึง พระผู้ทรงปรานี อัรรอซิก หมายถึง พระผู้ทรงอุปถัมภ์ อัลกะรีม หมายถึง พระผู้ทรงเกียร์ติ และ "อัลลอฮ์" เป็นพระนามที่เป็นที่รู้จักที่สุดในบรรดาพระนามของพระเจ้าผู้ทรงอำนาจ ความหมายของคำว่า อัลลอฮ์ คือ เป็นผู้สมควรแก่การสักการะแต่เพียงผู้เดียวโดยปราศจากภาคีใดๆ ทั้งสิ้น
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ว่า:﴿قُلۡ هُوَ ٱللَّهُ أَحَدٌ (จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คือ อัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ** ٱللَّهُ ٱلصَّمَدُ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง**لَمۡ یَلِدۡ وَلَمۡ یُولَدۡ พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ**وَلَمۡ یَكُن لَّهُۥ كُفُوًا أَحَدُۢ﴾ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์)(112 : 1-4).
และอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า:﴿اللَّهُ لا إِلَهَ إِلَّا هُوَ الْحَيُّ الْقَيُّومُ لا تَأْخُذُهُ سِنَةٌ وَلا نَوْمٌ لَهُ مَا فِي السَّمَوَاتِ وَمَا فِي الأَرْضِ مَنْ ذَا الَّذِي يَشْفَعُ عِنْدَهُ إِلَّا بِإِذْنِهِ يَعْلَمُ مَا بَيْنَ أَيْدِيهِمْ وَمَا خَلْفَهُمْ وَلا يُحِيطُونَ بِشَيْءٍ مِنْ عِلْمِهِ إِلَّا بِمَا شَاءَ وَسِعَ كُرْسِيُّهُ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضَ وَلا يَئُودُهُ حِفْظُهُمَا وَهُوَ الْعَلِيُّ الْعَظِيمُ﴾ (อัลลอฮ์ คือไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้ซึ่งการง่วงและการนอนไม่เกิดขึ้นกับพระองค์ ผู้ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่มีใครสามารถอ้อนวอนขอความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่นได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถที่จะรอบรู้สิ่งใดๆ จากความรู้ของพระองค์ได้ เว้นแต่สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้น เก้าอี้ของพระองค์นั้นกว้างขวางครอบคลุมชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และไม่เป็นภาระใดๆ ต่อพระองค์ในการดูแลรักษาทั้งสองนั้น และพระองค์คือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่)(2 : 255).
คุณลักษณะของพระเจ้า ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง
พระเจ้า คือผู้ทรงสร้างโลกและทรงทำให้มันเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและสรรพสิ่งอันมากมายในนั้น พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลางคืนและกลางวัน เป็นตัวควบคุมที่แน่นอนซึ่งบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
พระเจ้า คือผู้ทรงประทานอากาศให้แก่เราซึ่งเป็นสิ่งที่ชีวิตเราขาดมันไม่ได้ พระองค์คือผู้ทรงประทานฝนลงมาให้แก่เรา และทรงทำให้ทะเลและแม่น้ำได้เกิดความสะดวกแก่เรา พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูเราและรักษาเรา ขณะที่เราเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดาของเรา ซึ่งเราไม่มีกำลังเลยแม้แต่น้อย พระองค์คือผู้ที่ทำให้เลือดได้หมุนเวียนในสายเลือดของเรา และทำให้หัวใจของเราเต้นตั้งแต่เราเกิดจนตาย
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า:﴿وَاللَّهُ أَخْرَجَكُمْ مِنْ بُطُونِ أُمَّهَاتِكُمْ لَا تَعْلَمُونَ شَيْئًا وَجَعَلَ لَكُمُ السَّمْعَ وَالْأَبْصَارَ وَالْأَفْئِدَةَ لَعَلَّكُمْ تَشْكُرُونَ﴾ (และอัลลอฮ์ทรงให้พวกเจ้าออกจากครรภ์มารดาของพวกเจ้า โดยพวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย และพระองค์ทรงทำให้พวกเจ้าได้ยินและเห็นและมีหัวใจ (สำหรับนึกและคิด) เพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ)(16 : 78).
พระเจ้าผู้ได้รับการเคารพบูชาจะต้องมีลักษณะเฉพาะด้วยคุณสมบัติของความสมบูรณ์แบบ
ผู้ทรงสร้างเรา ทรงประทานจิตใจที่ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่เรา พระองค์ทรงปลูกฝังสัญชาตญาณในตัวเราซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และมิอาจมีลักษณะที่ไม่สมบูรณ์แบบแด่พระองค์ได้
การเคารพสักการะ (อิบาดะฮ์) นั้น ต้องกระทำเพื่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงฤทธานุภาพเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์แบบและสมควรแก่การเคารพสักการะยิ่ง ทุกสิ่งที่ถูกสักการะนอกเหนือจากพระองค์นั้นเป็นสิ่งเท็จ บกพร่อง และประสบกับความตายและการสูญสลาย
สิ่งที่ได้รับการเคารพสักการะนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมนุษย์ เจว็ด ต้นไม้ หรือสัตว์ต่างๆ!
ไม่สมควรที่ผู้มีสติปัญญาจะทำการเคารพสักการะต่อสิ่งใดนอกจากสิ่งนั้นต้องสมบูรณ์แบบ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเคารพสักการะต่อสิ่งถูกสร้างที่ต่ำกว่าเขา
พระเจ้ามิอาจเป็นทารกในครรภ์ของผู้หญิงและเกิดมาเหมือนเด็กทั่วๆ ไปได้!
พระเจ้าคือผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งทั้งหลายทรงอยู่ในกำมือของพระองค์ และอยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์ มนุษย์ไม่สามารถทำร้ายพระองค์ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถตรึงกางเขน ทรมาน และทำให้พระองค์อับอายได้!
พระเจ้าไม่ตาย!
พระเจ้า คือผู้ไม่หลงลืม ไม่นอน ไม่รับประทานอาหาร และผู้ทรงยิ่งใหญ่ ที่เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะมีภรรยาหรือบุตร ฉะนั้นสำหรับผู้ทรงสร้างแล้วพระองค์มีคุณลักษณะต่างๆที่ยิ่งใหญ่ และเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่พระองค์ต้องพึ่งพาสิ่งอื่นหรือพระองค์มีความบกพร่องและคำสอนใดก็ตามที่อ้างอิงถึงศาสดา ที่มีเนื้อหาขัดแย้งกับความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง ถือว่าเป็นคำสอนที่บิดเบือน ไม่ใช่วิวรณ์ที่แท้จริงที่นำมาโดย มูซา อีซา และศาสดาคนอื่นๆ (ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรพวกเขาและประทานสันติสุขแก่พวกเขา)
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า:يَا أَيُّهَا النَّاسُ ضُرِبَ مَثَلٌ فَاسْتَمِعُوا لَهُ إِنَّ الَّذِينَ تَدْعُونَ مِنْ دُونِ اللَّهِ لَنْ يَخْلُقُوا ذُبَابًا وَلَوِ اجْتَمَعُوا لَهُ وَإِنْ يَسْلُبْهُمُ الذُّبَابُ شَيْئًا لَا يَسْتَنْقِذُوهُ مِنْهُ ضَعُفَ الطَّالِبُ وَالْمَطْلُوبُ (73) (โอ้มนุษย์ เอ๋ย ! อุทาหรณ์หนึ่งถูกยกมากล่าวไว้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงฟังมันให้ดี แท้จริงบรรดาที่พวกเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮ์นั้น พวกมันไม่สามารถจะให้บังเกิดแม้แต่แมลงวันสักตัวหนึ่งได้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะรวมตัวกันเพื่อการนั้นก็ตาม และถ้าแมลงวันพาสิ่งใดหนีไปจากพวกมัน พวกมันก็ไม่สามารถจะเอามันกลับคืนมาได้จากแมลงวัน ทั้งผู้ขอและผู้ถูกขอ อ่อนแอแท้ๆ (73)مَا قَدَرُوا اللَّهَ حَقَّ قَدْرِهِ إِنَّ اللَّهَ لَقَوِيٌّ عَزِيزٌ (74) พวกเขามิได้ให้เกียรติอัลลอฮ์ ตามที่ควรจะให้เกียรติต่อพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพโดยแท้จริง(74) )(22 : 73-74).
เป็นไปได้ไหม ที่พระผู้ทรงสร้างจะทรงทิ้งเราไว้โดยไม่มีการประทานวะฮีย์(สาส์นแห่งการดำเนินชีวิต) มา?
เป็นไปได้ไหม ที่อัลลอฮ์สร้างทุกสิ่งนี้โดยไม่มีจุดประสงค์ใดๆ? พระองค์ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่พระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณและผู้ทรงรอบรู้?
เป็นไปได้ไหม ที่ผู้ทรงสร้างเราด้วยความแม่นยำและรัดกุมเช่นนี้ และทำให้ทุกสิ่งทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดินเกิดความสะดวกแก่เรา แล้วพระองค์จะสร้างเราโดยไม่มีจุดประสงค์ หรือทรงทิ้งเราไว้โดยไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่สำคัญที่สุดที่กำลังครอบงำเรา เช่น ทำไมเราจึงอยู่ที่นี่? และมีอะไรบ้างหลังความตาย? และอะไรคือจุดประสงค์จากการสร้างเราขึ้นมา?
หาใช่เช่นนั้นไม่ อัลลอฮ์ทรงส่งผู้นำสาส์นของพระองค์มาเพื่อที่เราจะได้ทราบถึงจุดประสงค์ของการดำรงอยู่ของเรา และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจากเรา!
อัลลอฮ์ทรงส่งบรรดาเราะซูลมาบอกเราว่า อัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ควรได้รับการเคารพสักการะ และสอนเราถึงวิธีการเคารพสักการะพระองค์ และบอกเราเกี่ยวกับคำสั่งและข้อห้ามของพระองค์ และสอนเราถึงคุณค่าอันสูงส่งที่จะทำให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความสุขความจำเริญ หากเราได้ยึดมั่นปฏิบัติต่อคำสั่งและข้อห้ามของพระองค์
พระองค์ได้ส่งผู้ส่งสาส์นมากมาย อาทิเช่น:(โนอาห์ อับราฮัม โมเสส และพระเยซู) พระองค์ได้ทรงประทานสัญญาณสำคัญ และความอัศจรรย์มากหมายแก่ผู้ส่งสาส์นเหล่านี้ ซึ่งแสดงถึงความสัจจริงของพวกเขา
และผู้ส่งสาส์นคนสุดท้ายคือ มูฮัมมัด - ขอพระเจ้าอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา - และพระเจ้าทรงประทานสัญญาณและความอัศจรรย์แก่เขา คือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันมีเกียรติ
และบรรดาเราะซูลได้บอกอย่างชัดเจนแก่เราว่า แท้จริงชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงการทดสอบ และชีวิตที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังความตาย
และจะมีสวรรค์แก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ทำการเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวโดยไม่ตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ พวกเขาศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทุกคน และจะมีนรกที่อัลลอฮ์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธา ซึ่งพวกเขาทำการเคารพสักการะต่อพระเจ้าอื่นพร้อมกับอัลลอฮ์ หรือปฏิเสธศรัทธาต่อเราะซูลคนใดคนหนึ่งจากบรรดาเราะซูลของอัลลอฮ์
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า:
يَابَنِي آدَمَ إِمَّا يَأْتِيَنَّكُمْ رُسُلٌ مِنْكُمْ يَقُصُّونَ عَلَيْكُمْ آيَاتِي فَمَنِ اتَّقَى وَأَصْلَحَ فَلَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ (35) (โอ้ ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ถ้ามีบรรดาเราะซูลในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยบอกเล่าโองการของข้าแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดที่ยำเกรงและฟื้นฟูการดีแล้ว ก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เกิดขึ้นแก่พวกเขา และพวกเขาก็จะไม่เสียใจ (35)وَالَّذِينَ كَذَّبُوا بِآيَاتِنَا وَاسْتَكْبَرُوا عَنْهَا أُولَئِكَ أَصْحَابُ النَّارِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ (36) และบรรดาผู้ที่เพียรพยายามกล่าวเท็จต่อโองการของเราและจองหองต่อโองการเหล่านั้น ชนเหล่านั้นคือชาวนรก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล(36) )(7 : 35-36).
และอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า:﴿ أَفَحَسِبْتُمْ أَنَّمَا خَلَقْنَاكُمْ عَبَثًا وَأَنَّكُمْ إِلَيْنَا لَا تُرْجَعُونَ ﴾ (พวกเจ้าคิดว่า แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ?)(23 : 115).
คัมภีร์อัลกุรอาน อันทรงเกียรติ
คัมภีร์อัลกุรอาน อันทรงเกียรติ เป็นพระวจนะของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง ซึ่งถูกประทานแก่ศาสดาคนสุดท้าย ศาสดามุฮัมมัดถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่บ่งบอกถึงความสัจจริงของท่านศาสดามุฮัมมัด - ขอพระเจ้าอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา- เนื้อหาของมันเป็นสัจธรรม และข่าวคราวของมันเป็นจริงเสมอ พระองค์อัลลอฮฺทรงท้าทายผู้เพียรพยายามกล่าวเท็จ ให้สร้างเพียงบทหนึ่งหนึ่งขึ้นมาเหมือนอัลกุรอาน พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากวาทศิลป์อันดื่มด่ำตรึงตรา และโวหารที่คมคาย ในอัลกุรอานมีหลักฐานทั้งด้านสติปัญญาและทางวิทยาศาสตร์อันมากมายที่บ่งชี้ว่าคัมภีร์เล่มนี้ไม่ใช่เป็นการอุตริของมนุษย์ แต่เป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าแห่งมนุษยชาติผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงยิ่งใหญ่
ทำไมจึงมีเราะซูลหลายคน?
อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งผู้ส่งสาส์นมาตั้งแต่กาลเริ่มต้นเพื่อเรียกร้องผู้คนมาหาพระเจ้าของพวกเขา และเพื่อเผยแผ่คำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของพระองค์ไปยังพวกเขา พวกเขาทั้งหมดเรียกร้องสู่การการเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงฤทธานุภาพ และเมื่อใดก็ตามที่ประชาชาติเริ่มละทิ้งหรือบิดเบือนสิ่งที่ศาสนทูตนำมา ในบัญญัติว่าด้วยการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺก็จะทรงมอบหมายผู้ส่งสาส์นอีกคนให้แก้ไข และทำให้ผู้คนกลับสู่สามัญสำนึกของการนับถือพระเจ้าองค์เดียว และการเชื่อฟังพระเจ้า จนกระทั่งพระเจ้าทรงส่งผู้ส่งสาส์นท่านสุดท้ายมาปิดผนึกคือนบีมุฮัมมัด (ขอสันติสุขจงมีแด่เขา) ผู้นำบัญญัติที่ถาวรสู่มวลมนุษยชาติทั้งหลายจนถึงวันฟื้นคืนชีพ เป็นคำสอนที่เติมเต็มและยกเลิกบัญญัติก่อนหน้าและพระผู้เป็นเจ้าทรงรับรองคำสอนและสาส์นนี้ ให้ถาวรและคงอยู่ตลอดไปจนถึงวันฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
นั่นคือเหตุผลที่มุสลิมทุกคนศรัทธา - ตามที่พระเจ้าทรงบัญชา - ในศาสนทูตทูกท่านและทุกคัมภีร์ก่อนหน้านี้ทั้งหมด
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า:﴿ءَامَنَ ٱلرَّسُولُ بِمَاۤ أُنزِلَ إِلَیۡهِ مِن رَّبِّهِۦ وَٱلۡمُؤۡمِنُونَۚ كُلٌّ ءَامَنَ بِٱللَّهِ وَمَلَـٰۤىِٕكَتِهِۦ وَكُتُبِهِۦ وَرُسُلِهِۦ لَا نُفَرِّقُ بَیۡنَ أَحَدࣲ مِّن رُّسُلِهِۦۚ وَقَالُوا۟ سَمِعۡنَا وَأَطَعۡنَاۖ غُفۡرَانَكَ رَبَّنَا وَإِلَیۡكَ ٱلۡمَصِیرُ﴾ (ศาสนทูต และมวลผู้ศรัทธา ย่อมศรัทธาในสิ่งที่ (คัมภีร์) ถูกประทานลงมายังเขาจากองค์อภิบาลของเขา ทุกคนต่างมีศรัทธามั่นต่ออัลลอฮ์ บรรดามลาอีกะฮ์ของพระองค์ บรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ (พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราได้ยิน และได้ปฏิบัติตามแล้ว การอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปราถนา โอ้พระผู้อภิบาลของเรา และยังพระองค์นั้น คือการกลับไป)[2: 285]. (2 : 285).
คนหนึ่งคนใดจะยังไม่เป็นผู้ศรัทธาจนกว่าเขาจะศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ส่งบรรดาเราะซูลและสั่งให้บรรดาบ่าวของพระองค์เชื่อฟังพวกเขา ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อความเป็นเราะซูลของคนหนึ่งคนใดแล้ว แน่นอนเขาผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีบาปอันใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้ที่ปฏิเสธโองการของอัลลอฮ์ ดังนั้น จำเป็นสำหรับการเข้าสู่สวรรค์ คือ การที่ต้องศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด
เป็นหน้าที่ของทุกคนในเวลานี้ที่จะต้องเชื่อในผู้ส่งสาส์น (ศาสนทูต) ของพระเจ้าทุกคน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้โดยการเชื่อและปฎิบัติตามท่านนบีมุฮัมมัด นบีคนสุดท้ายและผู้ปิดท้ายแห่งบรรดาศาสนทูตทั้งหลายเท่านั้น (ขอพระเจ้าอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา)
อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธที่จะเชื่อต่อศาสนทูตคนใดของอัลลอฮ์ ผู้นั้นคือผู้ไม่เชื่อต่ออัลลอฮ์และเป็นผู้กล่าวเท็จต่อโองการของพระองค์:
จงอ่านโองการต่อไปนี้:"إنَّ الَّذِينَ يَكْفُرُونَ بِاللَّهِ ورُسُلِهِ ويُرِيدُونَ أنْ يُفَرِّقُوا بَيْنَ اللَّهِ ورُسُلِهِ ويَقُولُونَ نُؤْمِنُ بِبَعْضٍ ونَكْفُرُ بِبَعْضٍ ويُرِيدُونَ أنْ يَتَّخِذُوا بَيْنَ ذَلِكَ سَبِيلًا (แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขาปรารถนาที่จะแยกระหว่างอัลลอฮ์และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาในบางคน และปฏิเสธต่อบางคน และพวกเขาปรารถนาที่จะยึดเอาในระหว่างนั้นซึ่งทางใดทางหนึ่ง*أُولَئِكَ هُمُ الكافِرُونَ حَقًّا وأعْتَدْنا لِلْكَفَرَيْنِ عَذابًا مُهِينًا﴾". ชนเหล่านั้นแหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย)(4 : 150-151).
ศาสนาอิสลามคืออะไร?
ศาสนาอิสลาม คือการยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ พระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ด้วยการให้เอกภาพต่อพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียว ยอมจำนนต่อพระองค์โดยการเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ด้วยความพอใจและการยอมรับ
อัลลอฮ์ทรงส่งบรรดาศาสนทูตมาเพื่อภารกิจเดียวกันคือ: การเรียกร้องไปสู่การเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีภาคีๆ เคียงคู่พระองค์
และศาสนาอิสลามนั้นเป็นศาสนาของบรรดาศาสนทูตทุกคน การเรียกร้องของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียว แต่หลักคำสอนหรือบทบัญญัติของพวกเขาแตกต่างกัน บรรดามุสลิมในทุกวันนี้เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ยึดมั่นในศาสนาที่เที่ยงแท้ซึ่งศาสนทูตทุกคนได้นำมา และสาส์นของศาสนาอิสลามในเวลานี้คือความจริง ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงส่งอับราฮัม โมเสส และพระเยซู คือผู้ที่ส่งศาสนทูตท่านสุดท้ายคือมุฮัมมัด และบทบัญญัติของศาสนาอิสลามได้เข้ามายกเลิกบทบัญญัติที่มีมาก่อนหน้านั้น
ทุกศาสนาที่ผู้คนเคารพบูชาในปัจจุบัน ยกเว้นศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือบรรดาศาสนาที่เคยเชื่อในพระเจ้า แต่หลังจากนั้นได้ถูกบิดเบือนโดยมนุษย์จนกลายเป็นการผสมผสานกับเรื่องราวที่เหลวไหล ไร้สาระ เป็นตำนานนิยายปรัมปราที่สืบทอดมา และเป็นความคิดของมนุษย์ทั้งสิ้น ส่วนความเชื่อของชาวมุสลิมนั้นเป็นความเชื่อหนึ่งเดียวที่ชัดเจนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และจงดูอัลกุรอาน อันทรงเกียรติซิ มันคือคัมภีร์เล่มเดียวกันที่มีในทุกประเทศมุสลิม
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ว่า:
قُلْ آمَنَّا بِاللَّهِ وَمَا أُنْزِلَ عَلَيْنَا وَمَا أُنْزِلَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَإِسْمَاعِيلَ وَإِسْحَاقَ وَيَعْقُوبَ وَالْأَسْبَاطِ وَمَا أُوتِيَ مُوسَى وَعِيسَى وَالنَّبِيُّونَ مِنْ رَبِّهِمْ لَا نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍ مِنْهُمْ وَنَحْنُ لَهُ مُسْلِمُونَ (84) จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) ว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้วและได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีล และอิสฮาก และยะอ์กูบและบรรดาผู้สืบเชื้อสาย (จากยะอ์กูบ) และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซาและอีซา และนบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และพวกเรานั้นเป็นผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์ (84)وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ 85). และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน (85) )(3 : 84-85).
มุสลิมมีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับอีซา พระเยซู (ขอสันติสุขจงมีแด่เขา)?
คุณรู้ไหมว่า ชาวมุสลิมต้องศรัทธาในพระเยซู นบีของพระองค์ รักท่านและเคารพต่อ่ท่าน และเชื่อในสาส์นของท่าน นั้นคือการเรียกร้องให้เคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีภาคีใดๆ ชาวมุสลิมต่างเชื่อว่าพระเยซูและศาสดามุฮัมมัด (ขอพระเจ้าอวยพรพวกเขาและประทานสันติสุขแก่พวกเขา) นั้น เป็นศาสนทูต และพวกเขาถูกบังเกิดขึ้นมาเพื่อนำทางผู้คนสู่แนวทางของอัลลอฮ์และแนวทางแห่งสวรรค์
เราต่างเชื่อว่าพระเยซู (ขอสันติสุขจงมีแด่พระองค์) เป็นหนึ่งในศาศนทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อัลลอฮผู้ทรงฤทธานุภาพทรงส่งมา และเราเชื่อว่าท่านประสูติมาอย่างอัศจรรย์ อัลลอฮฺได้บอกเราในอัลกุรอานว่า พระองค์ทรงสร้างพระเยซูโดยไม่มีพ่อ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสร้างอาดัมโดยไม่มีพ่อหรือแม่ ดังนั้นอัลลอฮฺคือพระเจ้าผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
เราต่างเชื่อว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า หรือเป็นพระบุตรของอัลลอฮ์และก็ท่านไม่ได้ถูกตรึงกางเขน แต่ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ โดยที่อัลลอฮ์ทรงยกท่านไปยังพระองค์ เพื่อให้ท่านลงมาพิพากษาอย่างยุติธรรมในช่วงใกล้วันสิ้นโลก และท่านจะอยู่กับชาวมุสลิม เพราะชาวมุสลิมเป็นผู้ศรัทธาในอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นหลักการที่พระเยซูและบรรดาศาสนทูตทุกท่านนำมา
แท้จริงอัลลอฮ์ได้แจ้งให้เราทราบในอัลกุรอานว่า แท้จริงสาส์นของพระเยซูถูกบิดเบือนโดยชาวคริสเตียนและแท้จริงมีบรรดาผู้บิดเบือนที่หลงผิดที่พวกเขาได้บิดเบือนและเปลี่ยนแปลงเนื้อหาคัมภีร์ไบเบิลและเพิ่มเติมในสิ่งที่พระเยซูไม่ได้กล่าวไว้ หลักฐานสำหรับเรื่องนี้คือสำเนาที่หลากหลายของคัมภีร์ไบเบิล และปรากฎความขัดแย้งอย่างมากมายในนั้น
แท้จริงอัลลอฮ์บอกเราว่า พระเยซูทำการเคารพสักการะต่อพระเจ้าของเขาและไม่ได้ขอให้ใครเคารพสักการะต่อท่าน แต่ท่านได้สั่งใช้ให้กลุ่มของท่าน ทำการเคารพสักการะต่อพระผู้สร้างท่าน แต่ชัยฏอนทำให้ชาวคริสเตียนเคารพสักการะต่อพระเยซู อัลลอฮ์ทรงบอกเราในอัลกุรอานว่า พระองค์จะไม่ทรงอภัยให้กับผู้ใดที่เคารพสักการะอื่นนอกจากพระองค์ และพระเยซูในวันฟื้นคืนชีพจะทรงปฏิเสธบรรดาผู้ที่เคารพสักการะท่านและกล่าวแก่พวกเขาว่า "ฉันได้สั่งใช้ให้พวกท่านเคารพสักการะพระผู้สร้าง และ ฉันไม่ได้ขอให้พวกท่านเคารพสักการะต่อฉัน" หลักฐานสำหรับสิ่งนี้คือ คำตรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า:
﴿یَـٰۤأَهۡلَ ٱلۡكِتَـٰبِ لَا تَغۡلُوا۟ فِی دِینِكُمۡ وَلَا تَقُولُوا۟ عَلَى ٱللَّهِ إِلَّا ٱلۡحَقَّۚ إِنَّمَا ٱلۡمَسِیحُ عِیسَى ٱبۡنُ مَرۡیَمَ رَسُولُ ٱللَّهِ وَكَلِمَتُهُۥۤ أَلۡقَىٰهَاۤ إِلَىٰ مَرۡیَمَ وَرُوحࣱ مِّنۡهُۖ فَـَٔامِنُوا۟ بِٱللَّهِ وَرُسُلِهِۦۖ وَلَا تَقُولُوا۟ ثَلَـٰثَةٌۚ ٱنتَهُوا۟ خَیۡرࣰا لَّكُمۡۚ إِنَّمَا ٱللَّهُ إِلَـٰهࣱ وَ ٰحِدࣱۖ سُبۡحَـٰنَهُۥۤ أَن یَكُونَ لَهُۥ وَلَدࣱۘ لَّهُۥ مَا فِی ٱلسَّمَـٰوَ ٰتِ وَمَا فِی ٱلۡأَرۡضِۗ وَكَفَىٰ بِٱللَّهِ وَكِیلࣰا﴾ (อะฮ์ลุลกิตาบทั้งหลาย จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขต ในศาสนาของพวกเจ้า และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ์ นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น แท้จริง อัล-มะซีห์ อีซาบุตรของมัรยัมนั้น เป็นเพียงเราะซูลของอัลลอฮ์และเป็นเพียงดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้นจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์เถิด และจงอย่ากล่าวว่าสามองค์เลย จงหยุดยั้งเสียเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ควรได้รับการเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการที่จะทรงมีพระบุตร สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งสิ้น และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา)(4 : 171).
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:(وَإِذْ قَالَ اللَّهُ يَا عِيسَى ابْنَ مَرْيَمَ أَأَنتَ قُلْتَ لِلنَّاسِ اتَّخِذُونِي وَأُمِّيَ إِلَٰهَيْنِ مِن دُونِ اللَّهِ ۖ قَالَ سُبْحَانَكَ مَا يَكُونُ لِي أَنْ أَقُولَ مَا لَيْسَ لِي بِحَقٍّ ۚ إِن كُنتُ قُلْتُهُ فَقَدْ عَلِمْتَهُ ۚ تَعْلَمُ مَا فِي نَفْسِي وَلَا أَعْلَمُ مَا فِي نَفْسِكَ ۚ إِنَّكَ أَنتَ عَلَّامُ الْغُيُوبِ (และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ ตรัสว่าอีซาบุตรของมัรยัม เอ๋ย! เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮ์ เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน! ไม่เคยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมรู้ดี โดยที่พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย)(5 : 116).
ผู้ใดที่ต้องการความสำเร็จในชีวิตหลังความตาย เขาต้องนับถือศาสนาอิสลาม และปฏิบัติตามนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่บรรดาศาสดา และศาสนทูต (ขอความสันติจงมีแด่พวกเขา) เห็นพ้องต้องกันก็คือ เฉพาะชาวมุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง และไม่มีภาคีใดๆ ในการเคารพสักการะต่อพระองค์เท่านั้นที่จะรอดพ้นจากการลงโทษในวันโลกหน้า พวกเขาศรัทธาในศาสดาและศาสนทูตทุกคน ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในสมัยของศาสดาโมเสส และศรัทธาต่อเขา และปฏิบัติตามคำสอนของเขา คือมุสลิมและผู้ศรัทธาที่ดี แต่หลังจากที่พระเจ้าส่งพระเยซูมา สาวกของโมเสสต้องเชื่อในพระเยซูและปฏิบัติตามเขา ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู คนเหล่านั้นเป็นมุสลิมที่ดี ผู้ใดปฏิเสธที่จะเชื่อในพระเยซู และบอกว่าฉันจะอยู่ในศาสนาของโมเสส ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ศรัทธา เพราะเขาปฏิเสธที่จะเชื่อในศาสดา ที่พระเจ้าทรงส่งมา จากนั้นหลังจากที่พระเจ้าส่งศาสนทูตคนสุดท้ายคือมุฮัมมัด ทุกคนก็ต้องเชื่อในตัวเขาพระเจ้าคือผู้ทรงส่งโมเสสและพระเยซู พระองค์เช่นเดียวกันคือผู้ทรงส่งศาสนทูตท่านสุดท้ายมูฮัมมัด ผู้ใดที่ไม่เชื่อในสาส์นของมุฮัมมัด (ขอพระเจ้าอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา) และกล่าวว่า "ฉันจะติดตามโมเสสหรือพระเยซูต่อไป" ก็จะไม่ใช่ผู้ศรัทธา
มันไม่เพียงพอกับการที่บุคคลหนึ่งกล่าวว่า เขาเคารพนับถือชาวมุสลิมทุกคนแล้ว และไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตหลังความตาย กับการที่เขาให้ทานและช่วยเหลือคนยากจน แต่ทว่า เขาจะต้องเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ บรรดาคัมภีร์ของพระองค์ บรรดาศาสนทูตของพระองค์ และวันปรโลก เพื่อที่อัลลอฮ์จะยอมรับสิ่งนั้นจากเขา ไม่มีบาปใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการนับถือสิ่งอื่นหรือมีภาคีเคียงคู่กับอัลลอฮ์และการปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ และการปฏิเสธวิวรณ์ที่อัลลอฮฺประทานลงมาหรือการปฏิเสธการเป็นศาสนทูตท่านสุดท้ายของมุฮัมมัด (ขอพระเจ้าอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา) ดังนั้น ชาวยิวและชาวคริสเตียนที่ได้ยินเกี่ยวกับการบังเกิดขึ้นของมุฮัมมัดในฐานะศาสนทูต - ขอพระเจ้าอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา - และปฏิเสธที่จะศรัทธาต่อเขาและปฏิเสธที่จะเข้าสู่ศาสนาของเขา คือ ศาสนาอิสลาม พวกเขาจะต้องอยู่ในไฟนรก โดยอยู่ในนั้นตลอดไป ดั่งที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:
{إِنَّ الَّذِينَ كَفَرُوا مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ وَالْمُشْرِكِينَ فِي نَارِ جَهَنَّمَ خَالِدِينَ فِيهَا ۚ أُولَـٰئِكَ هُمْ شَرُّ الْبَرِيَّةِ} (แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชาวคัมภีร์และกลุ่มผู้ตั้งภาคีนั้นจะอยู่ในนรกญะฮันนัม พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร์ พวกเขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุด)(98 : 6).
ดังที่มีการประทานสาส์นสุดท้ายจากอัลลอฮ์แก่มนุษย์นั้น มนุษย์คนใดที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและได้ยินเกี่ยวกับสาส์นของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่เป็นนบีคนสุดท้ายนั้น จำเป็นสำหรับเขาต้องศรัทธาต่อเขา ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่เขานำมา และเชื่อฟังในคำสั่งและข้อห้ามของเขา ดังนั้นผู้ใดที่ได้ยินสาส์นสุดท้ายนี้ แล้วปฏิเสธมัน อัลลอฮ์จะไม่ยอมรับการงานใดๆ จากเขา และพระองค์จะลงโทษเขาในวันอาคิเราะฮ์ และหลักฐานจากเรื่องนี้คือคำตรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า:
﴿وَمَن یَبۡتَغِ غَیۡرَ ٱلۡإِسۡلَـٰمِ دِینࣰا فَلَن یُقۡبَلَ مِنۡهُ وَهُوَ فِی ٱلۡـَٔاخِرَةِ مِنَ ٱلۡخَـٰسِرِینَ﴾ (และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในวันอาคิเราะฮ์เขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน)(3 : 85).
และอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:(قُلْ يَا أَهْلَ الْكِتَابِ تَعَالَوْا إِلَىٰ كَلِمَةٍ سَوَاءٍ بَيْنَنَا وَبَيْنَكُمْ أَلَّا نَعْبُدَ إِلَّا اللَّهَ وَلَا نُشْرِكَ بِهِ شَيْئًا وَلَا يَتَّخِذَ بَعْضُنَا بَعْضًا أَرْبَابًا مِّن دُونِ اللَّهِ ۚ فَإِن تَوَلَّوْا فَقُولُوا اشْهَدُوا بِأَنَّا مُسْلِمُونَ) (จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า "โอ้ ชาวคัมภีร์เอ๋ย จงมาสู่ถ้อยคำหนึ่งที่เท่าเทียมกันระหว่างเราและพวกเจ้า คือเราจะไม่เคารพสักการะต่อสิ่งใดๆ นอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่ตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์" แล้วหากพวกเขาหนีห่างออกไป ก็จงกล่าว(แก่พวกเขา)ว่า "จงเป็นพยานเถิดว่า พวกเราเป็นกลุ่มชนที่นอบน้อม(ต่ออัลลอฮ์) )(3 : 64).
อะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉัน หากฉันต้องการเป็นมุสลิม?
หากต้องการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม จำเป็นต้องศรัทธาต่อหลักการศรัทธา 6 ประการ ดังต่อไปนี้:
การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง และศรัทธาว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ผู้จัดเตรียม ผู้ค้ำจุน และผู้เป็นเจ้าของ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ไม่มีภรรยาหรือลูก และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะ
ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮ์ ว่าพวกเขาคือบ่าวของอัลลอฮ์ที่มีเกียรติ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาจากรัศมี และทรงกำหนดส่วนหนึ่งจากหน้าที่การงานของพวกเขาคือการนำโองการของอัลลอฮ์ลงมาให้แก่บรรดานบีของพระองค์
ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ทั้งหมด ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา เช่น เตารอต อินญีล (ก่อนการดัดแปลงแก้ไข) และคัมภีร์เล่มสุดท้าย คืออัลกุรอาน
ศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด เช่น นูห์ อิบรอฮีม มูซา อีซา และคนสุดท้ายคือนบีมุฮัมมัด พวกเขาทั้งหมดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงให้การสนับสนุนพวกเขาด้วยการประทานวะห์ยู ประทานสัญญาณต่างๆ และสิ่งอัศจรรย์แก่พวกเขาเพื่อแสดงถึงความสัตย์จริงของพวกเขา
ศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์ นั้นคือวันที่อัลลอฮ์ให้มีการฟื้นคืนชีพขึ้นมาทั้งผู้ที่อยู่ในยุคแรกๆ และยุคสุดท้าย และพระองค์ทรงพิพากษาระหว่างพวกเขา และทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาเข้าสวรรค์และให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเข้านรก
ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์ อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และสิ่งที่กำลังจะเกิดขี้นในอนาคต อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ ทรงบันทึกสิ่งเหล่านั้น ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมา
อิสลามคือแนวทางแห่งความสุข
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของเหล่าบรรดาศาสดาทุกคนและไม่ใช่ศาสนาเฉพาะสำหรับชาวอาหรับ
อิสลามคือแนวทางแห่งความสุขที่แท้จริงในโลกนี้ และความสุขนิรันดร์ในวันอาคิเราะฮ์
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่สามารถเติมเต็มความต้องการของจิตวิญญาณและตอบสนองความต้องการของร่างกายได้ และแก้ทุกปัญหาของมนุษย์
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:
{قَالَ اهْبِطَا مِنْهَا جَمِيعًا بَعْضُكُمْ لِبَعْضٍ عَدُوٌّ فَإِمَّا يَأْتِيَنَّكُمْ مِنِّي هُدًى فَمَنِ اتَّبَعَ هُدَايَ فَلا يَضِلُّ وَلا يَشْقَى "พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสองจงออกไปจากสวนสวรรค์ทั้งหมด โดยบางคน (ลูกหลาน) ในหมู่พวกเจ้าเป็นศัตรูกับอีกบางคน บางทีเมื่อมีคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) จากข้ามายังพวกเจ้า แล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) ของข้า เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้รับความลำบากوَمَنْ أَعْرَضَ عَنْ ذِكْرِي فَإِنَّ لَهُ مَعِيشَةً ضَنْكًا وَنَحْشُرُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ أَعْمَى และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด(20 : 123-124).
ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการเข้ารับศาสนาอิสลาม?
การเข้ารับศาสนาอิสลามมีประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย เช่น:
- ได้รับชัยชนะและได้รับเกียรติในโลกนี้ ด้วยการเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น เขาจะเป็นทาสของกิเลสตัณหา ชัยฏอน และอารมณ์ใฝ่ต่ำ
- ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปรโลก คือการรอดพ้นจากการทรมานในนรก และได้เข้าสวรรค์ และได้รับความพอพระทัยจากอัลลอฮ์ และนิรันดรในสวรรค์
- และบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ให้เข้าสวรรค์ พวกเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์ ปราศจากความตาย ความเจ็บป่วย ความเจ็บปวด ความโศกเศร้า หรือความชรา และพวกเขาจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ
- ในสวรรค์นั้นมีความสุขมากมายที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน และไม่มีใครเคยนึกถึง
ส่วนหนึ่งจากหลักฐานในเรื่องดังกล่าว คือ คำตรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า:﴿مَنۡ عَمِلَ صَـٰلِحࣰا مِّن ذَكَرٍ أَوۡ أُنثَىٰ وَهُوَ مُؤۡمِنࣱ فَلَنُحۡیِیَنَّهُۥ حَیَوٰةࣰ طَیِّبَةࣰۖ وَلَنَجۡزِیَنَّهُمۡ أَجۡرَهُم بِأَحۡسَنِ مَا كَانُوا۟ یَعۡمَلُونَ﴾ (ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้)(16 : 97).
ฉันจะขาดทุนอะไรไหม หากฉันปฏิเสธศาสนาอิสลาม?
มนุษย์จะขาดทุนที่ไม่ได้รับความรู้และความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอัลลอฮ์ และเขาจะขาดทุนที่ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงให้ความสงบและสันติสุขในโลกนี้ และความสุขนิรันดร์ในชีวิตหลังความตาย
มนุษย์จะขาดทุนที่ไม่ได้อ่านคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่มนุษย์ และขาดทุนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่นี้
เขาจะขาดทุนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับที่เขาจะขาดทุนที่จะไม่ได้เป็นสหายของพวกเขาในสวรรค์ในวันฟื้นคืนชีพ และเขาจะเป็นสหายของบรรดามารร้ายชัยฏอน บรรดาคนชั่ว และบรรดาผู้อธรรมในไฟนรก และเป็นที่พำนักที่น่าสังเวชและมีเพื่อนบ้านที่ชั่วร้ายยิ่ง
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:
قُلْ إِنَّ الْخَاسِرِينَ الَّذِينَ خَسِرُوا أَنْفُسَهُمْ وَأَهْلِيهِمْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ أَلا ذَلِكَ هُوَ الْخُسْرَانُ الْمُبِينُ (15) (จงกล่าวเถิดว่า แท้จริงบรรดาผู้ขาดทุนนั้นคือ บรรดาผู้ที่ทำตัวของพวกเขาเองและครอบครัวของพวกเขาให้ขาดทุนในวันกิยามะฮ์ พึงรู้เถิดว่า นั่นคือการขาดทุนอย่างชัดแจ้ง (15)لَهُمْ مِنْ فَوْقِهِمْ ظُلَلٌ مِنَ النَّارِ وَمِنْ تَحْتِهِمْ ظُلَلٌ ذَلِكَ يُخَوِّفُ اللَّهُ بِهِ عِبَادَهُ يَا عِبَادِ فَاتَّقُونِ } . สำหรับพวกเขานั้นมีชั้นของเปลวไฟนรกปกคลุมเหนือพวกเขา และเบื้องล่างของพวกเขาก็มีชั้นของเปลวไฟนรกอยู่ด้วย สิ่งนั้นแหละที่อัลลอฮ์ทรงทำให้ปวงบ่าวของพระองค์กลัว โอ้ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย จงยำเกรงต่อข้าเถิด(39 : 15-16)
ท่านจงอย่าประวิงเวลาในการตัดสินใจ!
โลกนี้ ไม่ใช่สถานที่นิรันดร์
ความสวยงามของมันจะจางหายไป และความต้องการของอารมณ์จะดับลง...
และวันนั้นจะมาถึง คือวันที่คุณจะต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่คุณทำ คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงอำนาจ ตรัสไว้ว่า:{وَوُضِعَ الْكِتَابُ فَتَرَى الْمُجْرِمِينَ مُشْفِقِينَ مِمَّا فِيهِ وَيَقُولُونَ يَا وَيْلَتَنَا مَالِ هَذَا الْكِتَابِ لاَ يُغَادِرُ صَغِيرَةً وَلاَ كَبِيرَةً إِلاَّ أَحْصَاهَا وَوَجَدُوا مَا عَمِلُوا حَاضِرًا وَلاَ يَظْلِمُ رَبُّكَ أَحَدًا} (และบันทึกจะถูกวางไว้ ดังนั้น เจ้าจะเห็นผู้กระทำผิดทั้งหลายหวั่นกลัวสิ่งที่มีอยู่ในบันทึกและพวกเขาจะกล่าวว่า "โอ้ความวิบัติของเราเอ๋ย บันทึกอะไรกันนี่ มันมิได้ละเว้นสิ่งเล็กน้อยและสิ่งใหญ่โตเลย เว้นแต่ได้บันทึกไว้ครบถ้วน" และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้า และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย)(18 : 49).
แท้จริงอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้แจ้งแก่เราว่า ผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม แท้จริงสถานที่สุดท้ายของพวกเขาคือจะอยู่ในไฟนรกตลอดกาล
ดังนั้น ความขาดทุน ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย แต่มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสไว้ว่า:{وَمَن يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَن يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ } (และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน)(3 : 85).
ดังนั้นอิสลามคือศาสนาเดียวที่อัลลอฮ์ยอมรับโดยที่พระองค์จะไม่ยอมรับศาสนาอื่น
ดังนั้น อัลลอฮ์ ทรงสร้างเรามา แด่พระองค์เท่านั้นที่เราจะต้องกลับไป และโลกใบนี้เป็นสถานที่เพื่อการทดสอบสำหรับเราเท่านั้น
ท่านจงมั่นใจเถิดว่า แท้จริงชีวิตนี้มันสั้นเหมือนกับความฝัน...ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรความตายจะมาถึงเขา
อะไรคือคำตอบของคุณต่อผู้สร้างของคุณ หากพระองค์ทรงถามคุณในวันฟื้นคืนชีพ ว่า: ทำไมเจ้าไม่ทำตามความจริง? ทำไมเจ้าไม่ปฏิบัติตามศาสนทูตคนสุดท้าย (มูฮัมมัด)?
แล้วพวกเจ้าจะตอบพระเจ้าของเจ้าอย่างไรในวันกิยามะฮ์ ทั้งที่โดยแน่แท้แล้ว เขาได้เตือนเจ้าแล้วถึงผลที่ตามมาของการไม่เชื่อในศาสนาอิสลาม และเขาได้แจ้งให้เจ้าทราบว่าชะตากรรมของผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออิสลามจะต้องพินาศในนรกตลอดไป?
และอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:﴿وَالَّذِينَ كَفَرُوا وَكَذَّبُوا بِآيَاتِنَا أُولَئِكَ أَصْحَابُ النَّارِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ﴾ (และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่อบรรดาโองการของเรา พวกเขาก็คือ ชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล)[2: 39]. (2 : 39)
ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับผู้ที่ละทิ้งความจริงและทำตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเขา
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงแจ้งแก่เราว่า มนุษย์ส่วนมากปฏิเสธที่จะนับถือศาสนาอิสลาม เพราะกลัวสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่
มนุษย์หลายคนปฏิเสธศาสนาอิสลาม เพราะไม่ต้องการเปลี่ยนความเชื่อของตนที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ และกลายมาเป็นธรรมเนียมยึดถือกันมาและหลายคนถูกขัดขวางด้วยความคลั่งไคล้และการต้องปกป้องความเท็จที่พวกเขาได้สืบทอดกันมา
และพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดจะไม่มีข้อแก้ตัวเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขายึดปฏิบัติ และพวกเขาจะยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์อัลลอฮ์ในสภาพที่ไม่มีหลักฐานใดๆ
มันไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าที่จะพูดว่า "ฉันจะยังคงเป็นผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะว่าฉันเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เชื่อพระเจ้า!" แต่เขาต้องใช้ความคิดที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เขา พิจารณาถึงความยิ่งใหญ่แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และคิดด้วยสติปัญญาที่พระผู้สร้างได้ทรงประทานให้แก่เขา เพื่อให้รับรู้ว่าจักรวาลนี้มันต้องมีผู้สร้าง ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่บูชาหินและรูปปั้นสำหรับพวกเขา ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวว่า จะเลียนแบบบรรพบุรุษของเขา แต่เขาต้องค้นหาความจริง และต้องถามตัวเองว่า: ฉันจะบูชาวัตถุที่ไม่มีชีวิตได้อย่างไร วัตถุที่ไม่ได้ยินฉัน ไม่เห็นฉัน และไม่ให้ประโยชน์ใดๆ เลยแก่ฉัน
และเช่นเดียวกัน ชาวคริสเตียนที่ศรัทธาในสิ่งที่ย้อนแย้งกับธรรมชาติและสติปัญญา พวกเขาควรถามตัวเองว่า: พระเจ้าจะฆ่าลูกชายของตัวเองผู้ไม่มีบาปเพื่อต้องการลบล้างบาปของผู้อื่นได้อย่างไร?! นี่มันไม่ยุติธรรม! และมนุษย์จะตรึงกางเขนและสังหารบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร?! พระเจ้าไม่สามารถให้อภัยบาปของมนุษย์โดยไม่ปล่อยให้พวกเขาฆ่าบุตรของพระองค์กระนั้นหรือ? พระเจ้าไม่สามารถปกป้องบุตรของพระองค์ได้กระนั้นหรือ?
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้มีสติปัญญาคือการปฏิบัติตามความจริง และไม่ปฏิบัติตามบรรพบุรุษในเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:﴿وَإِذَا قِیلَ لَهُمۡ تَعَالَوۡا۟ إِلَىٰ مَاۤ أَنزَلَ ٱللَّهُ وَإِلَى ٱلرَّسُولِ قَالُوا۟ حَسۡبُنَا مَا وَجَدۡنَا عَلَیۡهِ ءَابَاۤءَنَاۤۚ أَوَلَوۡ كَانَ ءَابَاۤؤُهُمۡ لَا یَعۡلَمُونَ شَیۡـࣰٔا وَلَا یَهۡتَدُونَ﴾ (และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู่สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่เราะซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมา ถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ)(5 : 104).
ผู้ที่ต้องการเข้ารับอิสลามแต่กลัวคนรอบข้างจะทำร้ายเขา เขาควรทำอย่างไร?
ผู้ใดก็ตามที่ต้องการนับถือศาสนาอิสลามและกลัวคนรอบข้างเขา เขาก็สามารถเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามได้ด้วยการปกปิดศาสนาอิสลามของเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะทำให้เกิดความสะดวกด้วยเส้นทางที่ดีกว่าสำหรับเขา เพื่อที่เขาจะได้อิสระและแสดงศาสนาอิสลามของเขาได้อย่างเปิดเผย
เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องยอมรับอิสลามทันทีแต่คุณไม่ควรบอกคนรอบข้างเกี่ยวกับการเข้ารับอิสลามของคุณ หรือป่าวประกาศถ้ามันเป็นอันตรายต่อคุณ
จงรู้ไว้ว่าถ้าคุณเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม คุณจะเป็นพี่น้องกับมุสลิมหลายล้านคน คุณสามารถติดต่อมัสยิดหรือศูนย์อิสลามในประเทศของคุณได้คุณสามารถขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากพวกเขา แล้วพวกเขาจะมีความสุขที่ได้คุณมาเป็นพี่น้อง
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:
{وَمَنْ يَتَّقِ اللَّهَ يَجْعَلْ لَهُ مَخْرَجًا وَيَرْزُقْهُ مِنْ حَيْثُ لَا يَحْتَسِب} (และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา จากที่ที่เขามิได้คาดคิด)(65 : 2-3)
ผู้อ่านที่มีเกียรติครับ
การเป็นที่พอพระทัยของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างของคณ - ผู้ทรงประทานความโปรดปรานทั้งหมดแก่คุณ พระองค์ทรงประทานอาหารแก่คุณ ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา และประทานอากาศที่คุณหายใจอยู่แก่คุณในเวลานี้ - มันไม่สำคัญยิ่งกว่าความพึงพอใจของผู้คนที่มีต่อคุณกระนั้นหรือ?
ความสำเร็จในโลกนี้และวันอาคิเราะฮ์นั้น ไม่ไช่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่ควรทุ่มเทเสียสละความสุขต่างๆในโลกที่ชั่วคราวนี้กระนั้นหรือ? เปล่าเลย ขอสาบานต่ออัลลอฮ์!
อย่าปล่อยให้อดีตมาหยุดยั้งคุณจากการแก้ไขเส้นทางที่ผิดและทำสิ่งที่ถูกต้อง
มาเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงได้แล้ววันนี้! อย่ายอมให้ชัยฏอนหยุดคุณจากการปฏิบัติตามความจริง!
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:
{يَا أَيُّهَا النَّاسُ قَدْ جَاءَكُمْ بُرْهَانٌ مِنْ رَبِّكُمْ وَأَنزلْنَا إِلَيْكُمْ نُورًا مُبِينًا (174) (โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แน่นอนได้มีหลักฐานจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว และเราได้ให้แสงสว่างอันแจ่มแจ้งลงมาแก่พวกเจ้าด้วย (174)فَأَمَّا الَّذِينَ آمَنُوا بِاللَّهِ وَاعْتَصَمُوا بِهِ فَسَيُدْخِلُهُمْ فِي رَحْمَةٍ مِنْهُ وَفَضْلٍ وَيَهْدِيهِمْ إِلَيْهِ صِرَاطًا مُسْتَقِيمًا (175) } ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และยึดมั่นในพระองค์นั้น ดังนั้น พระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเอ็นดูเมตตา และเกียรติศักดิ์แห่งพระองค์ และจะทรงชี้นำพวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรงไปสู่พระองค์ (175))(14 : 174-175).
คุณพร้อมที่จะตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณแล้วหรือยัง?
หากทั้งหมดนี้สมเหตุสมผลสำหรับคุณ แน่แท้แล้วคุณยอมรับความจริงในใจแล้ว คุณต้องขยับก้าวแรกสู่การเป็นมุสลิม คุณต้องการให้เราช่วยคุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตและแนะนำคุณในการเป็นมุสลิมหรือไม่?
อย่าปล่อยให้บาปของคุณขัดขวางคุณจากการเข้ารับอิสลาม พระเจ้าได้บอกเราในอัลกุรอานว่าพระองค์ทรงอภัยบาปทั้งหมดของมนุษย์ผู้หนึ่งเมื่อเขาเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและกลับใจต่อผู้สร้างของเขา แม้ว่าคุณจะยอมรับอิสลามแล้วก็ตาม มันก็เป็นเรื่องปกติที่คุณจะต้องทำบาปบางอย่าง เพราะเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทูตสวรรค์ผู้ไม่มีข้อผิดพลาด แต่สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราคือการขอการอภัยโทษจากพระเจ้าและกลับใจต่อพระองค์ หากพระเจ้าเห็นว่าคุณรีบเร่งยอมรับความจริง เข้ารับอิสลาม และกล่าวคำปฏิญาณ(ชะฮาดะฮ์) พระองค์ก็จะช่วยคุณละทิ้งบาปอื่นๆ ผู้ใดที่ยอมรับพระเจ้าและปฏิบัติตามความจริง พระเจ้าจะทรงนำทางเขาไปสู่ความดีที่มากขึ้น ดังนั้นอย่าลังเลที่จะเข้าอิสลามในตอนนี้
ส่วนหนึ่งจากหลักฐาน คือ คำตรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า:﴿قُل لِّلَّذِینَ كَفَرُوۤا۟ إِن یَنتَهُوا۟ یُغۡفَرۡ لَهُم مَّا قَدۡ سَلَفَ﴾ (จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย) แก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาว่า หากพวกเขาหยุดยั้ง สิ่งที่แล้วมาก็จะถูกอภัยให้แก่พวกเขา)(8 : 38).
ฉันควรทำอะไรบ้าง เพื่อฉันจะได้เป็นมุสลิม?
การเข้ารับอิสลามเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไร และไม่ต้องเป็นทางการหรือให้ใครมารับรอง เพียงแค่เขากล่าวคำปฏิญาณ 2 ประโยค รู้ความหมาย และศรัทธาต่อคำปฏิญาณนั้น โดยกล่าวว่า (อัชฮะดู อัลลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ วะอัชฮะดู อันนา มูฮัมมะดัร เราะซูลุลลอฮ์) ความว่า "ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และฉันขอปฏิญาณว่า มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์" และถ้าไม่เป็นการลำบากสำหรับคุณก็ให้กล่าวด้วยภาษาอาหรับจะเป็นการดีกว่า และถ้ามันเป็นเรื่องยากก็แค่กล่าวด้วยภาษาของคุณ จากตรงนี้คุณก็เป็นมุสลิมแล้ว หลังจากนั้นคุณต้องศึกษาศาสนาของคุณซึ่งจะเป็นที่มาของความสุขสำหรับคุณทั้งในโลกนี้และทางรอดของคุณในวันอาคิเราะฮ์
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม เราขอแนะนำให้คุณเยี่ยมชมเว็บไซต์:
ลิงค์แปลความหมายอัลกุรอานเป็นภาษา....
หากต้องการเรียนรู้วิธีการปฏิบัติศาสนกิจ เราขอแนะนำให้คุณเยี่ยมชมเว็บไซต์:
ใครเป็นผู้สร้างฉันมา? และสร้างมาเพื่ออะไร?ทุกสิ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของผู้สร้าง
อัลลอฮ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง
คุณลักษณะของพระเจ้า ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง
พระเจ้าผู้ได้รับการเคารพบูชาจะต้องมีลักษณะเฉพาะด้วยคุณสมบัติของความสมบูรณ์แบบ
เป็นไปได้ไหม ที่พระผู้ทรงสร้างจะทรงทิ้งเราไว้โดยไม่มีการประทานวะฮีย์(สาส์นแห่งการดำเนินชีวิต) มา?
คัมภีร์อัลกุรอาน อันทรงเกียรติ
คนหนึ่งคนใดจะยังไม่เป็นผู้ศรัทธาจนกว่าเขาจะศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด
มุสลิมมีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับอีซา พระเยซู (ขอสันติสุขจงมีแด่เขา)?
อะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉัน หากฉันต้องการเป็นมุสลิม?
ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการเข้ารับศาสนาอิสลาม?
ฉันจะขาดทุนอะไรไหม หากฉันปฏิเสธศาสนาอิสลาม?
ท่านจงอย่าประวิงเวลาในการตัดสินใจ!
ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับผู้ที่ละทิ้งความจริงและทำตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเขา
ผู้ที่ต้องการเข้ารับอิสลามแต่กลัวคนรอบข้างจะทำร้ายเขา เขาควรทำอย่างไร?
คุณพร้อมที่จะตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณแล้วหรือยัง?
ฉันควรทำอะไรบ้าง เพื่อฉันจะได้เป็นมุสลิม?